โลกและการเปลี่ยนแปลง
เปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เราเรียกกระบวนการที่โลกสร้างและทำลายแผ่นเปลือกโลกนี้ว่า "ธรณีแปรสัณฐาน
ธรณีภาค" หรือ "เพลต เทคโทนิกส์" (Plate Tectonics) คำว่า "เพลต"
หมายถึงแผ่นธรณีภาค ส่วน "เทคโทนิกส์"
เป็นคำภาษากรีกหมายถึงการสร้างขึ้นใหม่ ฉะนั้นเพลต
เทคโทนิกส์จึงแปลตรงตัวว่า กระบวนการสร้างแผ่นธรณีภาค
ทวีปในอดีต
อัลเฟรด เวเกเนอร์ (Alfred Wegener)
นักอุตุนิยมวิทยาชาวเยอรมันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งข้อสังเกตว่า
รูปร่างโค้งชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้สอดรับกับโค้งชายฝั่งตะวันตก
ของทวีปแอฟริกา เขาได้ตั้งสมมติฐานว่า เมื่อประมาณสองร้อยล้านปีมาแล้ว
ทวีปทั้งหลายเคยอยู่ชิดติดกันเป็นมหาทวีปชื่อว่า พันเจีย (Pangaea)
ซึ่งประกอบด้วยดินแดนตอนเหนือชื่อ ลอเรเซีย (Laurasia) และดินแดนตอนใต้ชื่อ
กอนด์วานา (Gondwana) โดยมีหลักฐานสนับสนุนได้แก่ รูปร่างโค้งเว้าของทวีป
ฟอสซิลไดโนเสาร์และพืชโบราณ ร่องรอยของธารน้ำแข็งและภูมิอากาศในอดีต
รวมทั้งโครงสร้างทางธรณีวิทยา เช่น องค์ประกอบและอายุหิน
นักธรณีวิทยาพบว่า ทวีปที่สัณนิษฐานว่า เคยอยู่ชิดติดกัน
จะมีซากฟอสซิลที่เหมือนกัน เช่น ไซโนกาทัส(Cynogathus)
สัตว์เลื้อยคลานในยุคไทรแอสสิคอาศัยอยู่ในบราซิลและแอฟริกา, ลีสโทรซอรัส
(Lystrosaurus) อาศัยอยู่ในแอฟริกา อินเดีย และแอนตาร์กติก, มีโซซอรัส
(Mesosaurus) อาศัยอยู่ในตอนใต้ของอเมริกาใต้และแอฟริกา, ต้นกลอสโซเทรีส
(Grossoteris) เคยแพร่พันธุ์อยู่ในอเมริกา แอฟริกา อินเดีย แอนตาร์กติก
และออสเตรเลีย
นักอุตุนิยมวิทยาพบร่องรอยของธราน้ำแข็งโบราณในทวีปอเมริกาใต้
แอฟริกา อินเดีย ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติก
นักธรณีวิทยาพบว่าภายใต้พื้นทีทะเลทรายของทวีปอเมริกาเหนือและเอเชียกลาง
ซึ่งเป็นแหล่งถ่านหินและน้ำมันดิบในปัจจุบัน
ในอดีตเคยเป็นเขตศูนย์สูตรซึ่งอุดมไปด้วยป่าไม้ขนาดใหญ่ซึ่งกลายเป็นแหล่ง
เชื้อเพลิงฟอสซิลในปัจจุบันนอกจากนี้นักธรณีได้ทำการตรวจสอบอายุหินฐานซึ่ง
วางตัวอยู่ชั้นล่างสุด ในบริเวณตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกา อินเดีย
ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติก พบว่าบริเวณเหล่านี้มีอายุเก่าไล่เลี่ยกัน
แผ่นธรณี
เปลือกโลกมิได้เป็นแผ่นเดียวต่อเนื่องเหมือนลูกปิงปอง
หากแต่เหมือนเปลือกไข่ที่แตกร้าวหลายแผ่นเรียงชิดติดกันเรียงว่า
"แผ่นธรณี" (Plate) โดยมีจำนวนประมาณ 15 เพลต
แผ่นธรณีที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ได้แก่ แผ่นแปซิฟิก แผ่นอเมริกาเหนือ
แผ่นอเมริกาใต้ แผ่นยูเรเซีย แผ่นแอฟริกา แผ่นอินโด-ออสเตรเลีย
และแผ่นแอนตาร์กติกเป็นต้น แผ่นแปซิฟิกเป็นแผ่นธรณีที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
กินอณาเขต1ใน3ของผิวโลก
หลังจากที่โลกก่อกำเนิดมาเมื่อ 4,600 ล้านปีที่แล้ว โลกค่อยๆ
เย็นตัวลงอย่างช้าๆ ภายในแก่นกลางโลกยังร้อนระอุด้วยแรงกดดันจากแรงโน้มถ่วง
และกัมมันตภาพรังสีซึ่งเกิดจากการสลายตัวของธาตุที่อยู่ภายใน
ดังนั้นเปลือกโลกซึ่งอยู่บนขอบด้านนอกสามารถแผ่ความร้อนคืนสู่อวกาศ
จึงเย็นตัวได้เร็วกว่าขั้นที่อยู่ภายใน
ชั้นที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงของแผ่นธรณีมีสองส่วนคือ
ธรณีภาคและฐานธรณีภาค
ธรณีภาค (Lithosphere) ประกอบด้วย เปลือกโลกทวีป เปลือกโลกมหาสมุทร
และเนื้อโลกชั้นบนสุด (Uppermost Mantle)
ซึ่งเปรียบเสมือนสายพานรองรับเปลือกโลกอีกทีหนึ่ง มีสถานะเป็นของแข็ง
ฐานธรณีภาค (Asthenosphere) คือบริเวณเนื้อโลกชั้นบน (Upper
mantle) ซึ่งอยู่ใต้ธรณีภาคลงมา
อุณหภูมิที่สูงทำให้วัสดุในชั้นนี้เป็นของแข็งเนื้ออ่อน
เคลื่อนที่ด้วยการพาความร้อน (Convection cell) คล้ายน้ำเดือดในหม้อต้มน้ำ
เมื่อมีอุณหภูมิสูงก็จะขยายตัวและลอยสูงขึ้น เมื่อเย็นตัวก็จะหดตัวและจมลง
หมุนเวียนเรื่อยไปเป็นวัฏจักรดังภาพที่ 3
ฐานธรณีภาคจึงเปรียบเสมือนวงล้อที่ขับเคลื่อนสายพานซึ่งเป็นธรณีภาค
ให้เคลื่อนที่จมตัวและเกิดขึ้นใหม่เป็นวัฏจักรหิน (Rock cycle)
เราเรียกกระบวนการเช่นนี้ว่า "ธรณีแปรสัณฐาน ธรณีภาค" หรือ "เพลต
เทคโทนิกส์" (Plate Tectonics) คำว่า "เพลต" หมายถึงแผ่นธรณีภาค ส่วนคำว่า
"เทคโทนิกส์" มาจากภาษากรีกหมายถึงการสร้างขึ้นใหม่ ฉะนั้นเพลต
เทคโทนิกส์จึงแปลตรงตัวว่า กระบวนการสร้างแผ่นธรณี
กระบวนการธรณีแปรสัณฐาน
เซลล์การพาความร้อนจากภายในของโลก (Convection cell)
ในฐานธรณีภาคดันพื้นมหาสมุทรขึ้นมากลายเป็น “สันเขาใต้มหาสมุทร” (Mid-ocean
ridge) แมกมาซึ่งโผล่ขึ้นมา
ผลักเปลือกโลกมหาสมุทรให้เคลื่อนที่ขยายตัวออกทางด้านข้างเนื่องจากเปลือก
โลกมหาสมุทรมีความหนาแน่นมากกว่าเปลือกโลกทวีป
ดังนั้นเมื่อเปลือกโลกมหาสมุทรชนกับเปลือกโลกทวีป
เปลือกโลกมหาสมุทรจะมุดตัวต่ำลงกลายเป็น “เหวมหาสมุทร” (Trench)
และถูกหลอมละลายเป็นเนื้อโลกอีกครั้งหนึ่ง
มวล
หินหนืดร้อนที่เกิดขึ้นจากการรีไซเคิลของเปลือกโลกมหาสมุทรที่จมตัวลง
มีความหนาแน่นน้อยกว่าเนื้อโลก จึงลอยตัวแทรกขึ้นมาเป็นแนวภูเขาไฟ เช่น
เทือกเขาแอนดีสทางฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้
รอยต่อของขอบเพลต (Plate boundaries)
เพลตแยกจากกัน (Divergent) เมื่อแมกม่าในชั้นแอสทีโนสเฟียร์ดันตัวขึ้น
ทำให้เพลตจะขยายตัวออกจากกัน
แนวเพลตแยกจากกันส่วนมากเกิดขึ้นในบริเวณสันกลางมหาสมุทร
เพลตชนกัน (Convergent) เมื่อเพลตเคลื่อนที่เข้าชนกัน
เพลตที่มีความหนาแน่นสูงกว่าจะมุดตัวลงและหลอมละลายในแมนเทิล
ส่วนเพลตที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าจะถูกเกยสูงขึ้นกลายเป็นเทือกเขา เช่น
เทือกเขาหิมาลัย เกิดจากการชนกันของเพลตอินเดียและเพลตเอเชีย
เทือกเขาแอพพาเลเชียน เกิดจากการชนกันของเพลตอเมริกาเหนือกับเพลตแอฟริกา
รอยเลื่อน (Transform fault) เป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่
มักเกิดขึ้นในบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทร
แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่ง เช่น รอยเลื่อนแอนเดรียส์
ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เกิดจากการเคลื่อนที่สวนกันของเพลตอเมริกาเหนือและเพลตแปซิฟิก